วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 12 พ.ย. 2567
ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 ตลาดทองคำเผชิญกับแรงเทขายรุนแรงในวันจันทร์ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญกว่า 2.50% ท่ามกลางการแข็งค่าของดัชนีดอลลาร์สหรัฐที่พุ่งทะยานขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งนี้มาจากความคาดหวังของตลาดที่มีต่อการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของ Donald Trump ซึ่งอาจนำมาซึ่งการยกระดับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศครั้งใหม่
ราคาทองคำ (XAU/USD) เคลื่อนไหวที่ระดับ $2,611 หลังจากที่ทำจุดสูงสุดของวันที่ $2,686 สะท้อนให้เห็นถึงความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่านี่เป็นการปรับตัวลงที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 5 เดือน ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการประกาศผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์หลายรายได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายการค้าของ Trump ในสมัยที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นไปได้ในการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและการเติบโตของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งอาจตึงเครียดมากขึ้นภายใต้การบริหารงานของ Trump
การปรับตัวลงของราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากการคาดการณ์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่อาจไม่ผ่อนคลายมากเท่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่อาจปรับตัวสูงขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า
ตลาดการเงินระส่ำ BlackRock และ JPMorgan ส่งสัญญาณเตือนการเทขายพันธบัตรสหรัฐยังไม่จบ หวั่นนโยบายการคลังของ Trump ทำเงินเฟ้อพุ่ง
ความกังวลในตลาดการเงินทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากที่สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่าง BlackRock และ JPMorgan ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนว่าการเทขายพันธบัตรสหรัฐที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันยังไม่สิ้นสุด โดยรายงานจาก Bloomberg ได้เปิดเผยถึงความกังวลของทั้งสองสถาบันการเงินที่มีต่อแผนการคลังของ Donald Trump ที่อาจส่งผลให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการขยายตัวของการขาดดุลงบประมาณอย่างมีนัยสำคัญ
นักวิเคราะห์จาก BlackRock ซึ่งเป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ให้ความเห็นว่าแผนการคลังที่ Trump นำเสนอระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง โดยเฉพาะนโยบายการลดภาษีและการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ อาจส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐต้องกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น และอาจนำไปสู่การเทขายพันธบัตรเพิ่มเติมในตลาด
ในขณะเดียวกัน JPMorgan ได้วิเคราะห์ว่านโยบายการคลังแบบขยายตัว (Expansionary Fiscal Policy) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายใต้การบริหารของ Trump อาจส่งผลให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับนโยบายการค้าที่เข้มงวด เช่น การเพิ่มภาษีนำเข้า ซึ่งมักส่งผลให้ราคาสินค้าในประเทศปรับตัวสูงขึ้น
ความกังวลดังกล่าวได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ โดยนักลงทุนได้เริ่มปรับลดการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในอนาคต สะท้อนจากโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมที่ลดลงจาก 80% เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเหลือเพียง 65% ในปัจจุบัน
นักวิเคราะคาด Fed โดนกดดันจากนโยบาย Trump
นักวิเคราะห์ด้านตลาดการเงินหลายรายได้แสดงความเห็นว่า การที่ Fed อาจต้องชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือแม้กระทั่งพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงเป็นระยะเวลานานขึ้น เพื่อควบคุมแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายการคลังของรัฐบาล Trump จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดการเงินโดยรวม
การคาดการณ์ถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจสูงขึ้นหรือคงอยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานานขึ้น ได้ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มปรับพอร์ตการลงทุน โดยหันมาถือครองเงินสดมากขึ้นและลดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย (Non-yielding Asset) ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนลดลงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย เช่น พันธบัตรรัฐบาล
นอกจากนี้ การที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากความคาดหวังว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับสูง ยิ่งเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำเพิ่มเติม เนื่องจากทองคำซึ่งกำหนดราคาในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ลงทุนที่ถือครองเงินสกุลอื่น ส่งผลให้ความต้องการซื้อทองคำในตลาดโลกลดลง
ในด้านตลาดแรงงาน การที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm Payrolls) ของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งและอัตราการว่างงานที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ยิ่งเป็นปัจจัยที่อาจทำให้ Fed ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งมักส่งผลให้เกิดแรงกดดันด้านค่าจ้างและเงินเฟ้อในระยะยาว
ส่องทิศทางตลาดทองคำโลก ความท้าทายใหม่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสหรัฐ
การวิเคราะห์จาก Heraeus ได้เปิดเผยมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับทิศทางของตลาดทองคำโลกในช่วงหลังการชัยชนะของ Donald Trump โดยระบุว่าการปรับตัวลดลงของราคาทองคำครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบทางประวัติศาสตร์ที่มักเกิดขึ้นเมื่อพรรครีพับลิกันได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
จากการศึกษาข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 1976 พบว่าการชนะการเลือกตั้งของพรรครีพับลิกันมักส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงเฉลี่ย 4.5% ภายในระยะเวลา 60 วัน ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนกับกรณีที่พรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง ที่มักทำให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.8% การที่พรรครีพับลิกันมีแนวโน้มจะได้ควบคุมทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจแบบอนุรักษ์นิยมและลดความไม่แน่นอนในทิศทางด้านภูมิรัฐศาสตร์
ในด้านปริมาณการซื้อขายทองคำแท่ง ข้อมูลจากเหรียญกษาปณ์สหรัฐ (U.S. Mint) และ Perth Mint แสดงให้เห็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยยอดขายสะสมจนถึงเดือนตุลาคมของ U.S. Mint ลดลงถึง 663.5 พันออนซ์เมื่อเทียบกับปี 2023 ส่งผลให้ปี 2024 มีแนวโน้มจะเป็นปีที่มียอดขายต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2019 ในขณะที่ Perth Mint ก็ประสบกับสถานการณ์คล้ายคลึงกัน โดยยอดขายลดลง 261 พันออนซ์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
แม้ว่าตลาดในสหรัฐและออสเตรเลียจะซบเซา แต่กลับพบว่าตลาดในเอเชียยังคงคึกคัก โดยเฉพาะในอินเดีย เกาหลี และไต้หวัน ที่มียอดซื้อเพิ่มขึ้น 41%, 36% และ 28% ตามลำดับ ตามข้อมูลของ World Gold Council อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของความต้องการลงทุนในทองคำแท่งทั่วโลกยังคงลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และอาจยังคงอ่อนแอต่อเนื่องหากราคาทองคำยังคงอยู่ในระดับสูง
มองไปข้างหน้า นักวิเคราะห์คาดว่าทิศทางของราคาทองคำจะขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญหลายประการ ทั้งการดำเนินนโยบายการค้าของ Trump ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของ Fed และพัฒนาการของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในประเด็นเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ นักลงทุนจึงควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในตลาดทองคำโลก
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
ราคาทองคำเผชิญแรงเทขายอย่างหนักในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยร่วงลงมาทดสอบแนวรับสำคัญที่บริเวณ $2,620 อย่างไรก็ตาม เริ่มพบสัญญาณบวกที่น่าสนใจในระยะสั้น
จุดที่น่าสนใจคือการเกิด Bullish Divergence ในกราฟ RSI อย่างชัดเจน โดยในขณะที่ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า แต่ค่า RSI กลับทำจุดต่ำสุดที่สูงกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า ประกอบกับค่า RSI ที่ต่ำกว่าระดับ 30 แสดงถึงภาวะขายมากเกินไป (Oversold) สิ่งนี้มักเป็นสัญญาณเตือนว่าราคาอาจเกิดการฟื้นตัวในระยะสั้น
แนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ $2,602 ซึ่งเป็นแนวรับ Fibonacci 100% ถัดลงมาคือแนวรับแข็งแกร่งที่ $2,589 และแนวรับระยะกลางที่ $2,545 ส่วนแนวต้านสำคัญอยู่ที่ $2,642 (Fibonacci 78.6%) ตามด้วย $2,673 (Fibonacci 61.8%) และ $2,696 (Fibonacci 50%)
คาดการณ์แนวโน้ม 24 ชั่วโมงข้างหน้า ราคาทองคำมีโอกาสฟื้นตัวในระยะสั้นจากสัญญาณ Bullish Divergence ที่เกิดขึ้น โดยมีเป้าหมายแรกที่แนวต้าน $2,642 และหากผ่านได้อาจไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ $2,673 อย่างไรก็ตาม หากราคาไม่สามารถยืนเหนือ $2,642 ได้ อาจเห็นการแกว่งตัวในกรอบแคบระหว่าง $2,589-2,642 อย่างไรก็ตาม แม้ราคาจะมีโอกาสฟื้นตัวระยะสั้น แต่แนวโน้มในระยะกลางตอนนี้ของทองคำกำลังอยู่ในขาลง
แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,602
$2,589
$2,545
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,642
$2,673
$2,696
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน