วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 28 พ.ย. 2567
ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 ราคาทองคำยังคงถูกกดดันในเช้าวันนี้ แม้จะปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อยเมื่อวันที่ผ่านมา โดยมีแรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญหลายรายการ ประกอบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลง ในขณะที่บรรยากาศการซื้อขายในตลาดการเงินเริ่มซบเซาลงเล็กน้อย เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดทำการในวันขอบคุณพระเจ้าในวันนี้
ขณะที่สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางจะผ่อนคลายลงบ้าง หลังจากเลบานอนและอิสราเอลบรรลุข้อตกลงหยุดยิง แต่การทวีความรุนแรงของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าในสัปดาห์นี้ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงกว่า 2.90% จากแรงเทขายทำกำไร ทั้งนี้ ข้อมูลจาก CME FedWatch Tool แสดงให้เห็นว่าตลาดให้น้ำหนักถึง 70% ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากทองคำมักได้รับความนิยมในภาวะดอกเบี้ยต่ำ เพราะไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยเหมือนสินทรัพย์ประเภทอื่น
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งแม้เผชิญแรงกดดันจากดอกเบี้ยสูง GDP ไตรมาส 3 ขยายตัว 2.8%
เมื่อวันที่ผ่านมามีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญหลายรายการ เริ่มต้นที่สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐฯ (Bureau of Economic Analysis) รายงานตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3 ในการประมาณการครั้งที่สอง พบว่าเศรษฐกิจขยายตัว 2.8% ในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ไม่เปลี่ยนแปลงจากการรายงานครั้งแรก แม้จะชะลอตัวลงเล็กน้อยจากการขยายตัว 3.0% ในไตรมาส 2 แต่ก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ท่ามกลางสภาวะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบกว่า 20 ปี
การปรับประมาณการ GDP ครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงในองค์ประกอบสำคัญหลายรายการ โดยมีการปรับเพิ่มตัวเลขการลงทุนในสินค้าคงคลังภาคเอกชนและการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย ในขณะที่มีการปรับลดประมาณการการส่งออกและการใช้จ่ายของผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังมีการปรับลดตัวเลขการนำเข้า ซึ่งถือเป็นรายการหักในการคำนวณ GDP
เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 การชะลอตัวของ GDP ในไตรมาส 3 มีสาเหตุหลักมาจากการหดตัวของการลงทุนในสินค้าคงคลังภาคเอกชนและการลดลงที่มากขึ้นของการลงทุนในที่อยู่อาศัย สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงต่อภาคอสังหาริมทรัพย์
Adam Button หัวหน้านักกลยุทธ์ด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่ Forexlive.com ให้ความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงในการประมาณการครั้งนี้ไม่มีนัยสำคัญมากนัก เศรษฐกิจยังคงมีความแข็งแกร่งโดยมีการบริโภคภาคเอกชนเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก โดยการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 70% ของ GDP สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3.5% ในไตรมาส 3 ลดลงเล็กน้อยจากประมาณการครั้งแรกที่ 3.7% แต่ยังคงเป็นอัตราการขยายตัวที่แข็งแกร่ง
ในด้านเสถียรภาพราคา ดัชนีราคา GDP พื้นฐาน (Core Price Index) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่มีความผันผวนสูง เพิ่มขึ้น 2.1% ในไตรมาส 3 ปรับลดลงจากประมาณการครั้งแรกที่ 2.2% ขณะที่ดัชนีราคา GDP โดยรวมเพิ่มขึ้น 1.5% ไม่เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการครั้งแรก สะท้อนให้เห็นว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเริ่มผ่อนคลายลง แม้จะยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าเป้าหมายของ Fed ที่ 2%
ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งเกินคาด ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ก็รายงานจำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 23 พฤศจิกายน อยู่ที่ 213,000 ราย ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 217,000 ราย และทรงตัวจากสัปดาห์ก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงมีความแข็งแกร่งแม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง
ในส่วนของจำนวนผู้รับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Claims) ซึ่งรายงานล่าช้ากว่าหนึ่งสัปดาห์ พบว่าในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 16 พฤศจิกายน มีจำนวน 1.907 ล้านราย ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.910 ล้านราย และต่ำกว่าสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 1.908 ล้านราย สะท้อนให้เห็นว่าผู้ว่างงานส่วนใหญ่สามารถหางานใหม่ได้ในระยะเวลาไม่นาน
เงินเฟ้อดันทองร่วง แต่รายได้-การใช้จ่ายผู้บริโภคยังแกร่ง สร้างความกังวลต่อแนวโน้มดอกเบี้ย
และข้อมูลสำคัญ มาจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ที่รายงานดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากสะท้อนความเคลื่นอไหวของราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคจ่ายจริง เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนตุลาคม เท่ากับเดือนก่อนและตรงตามที่ตลาดคาดการณ์
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น 2.8% เร่งตัวจาก 2.7% ในเดือนกันยายน สะท้อนให้เห็นว่าแรงกดดันด้านราคายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปซึ่งรวมราคาอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนตุลาคม ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และเมื่อเทียบกับปีก่อนเพิ่มขึ้น 2.3% เร่งตัวจาก 2.1% ในเดือนก่อน
Stephen Brown รองหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์อเมริกาเหนือที่ Capital Economics กล่าวว่า การตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เปราะบาง และข้อมูลเงินเฟ้อชุดต่อไปจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจในการประชุมเดือนธันวาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรายงานการประชุม Fed เดือนพฤศจิกายนระบุว่าคณะกรรมการบางคนอาจสนับสนุนให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้หากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม รายงานยังแสดงให้เห็นสัญญาณที่น่าจับตาในด้านรายได้และการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยรายได้ส่วนบุคคล (Personal Income) เพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนตุลาคม สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 0.4% และเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งยังคงหนุนให้ค่าจ้างและเงินเดือนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกัน การใช้จ่ายส่วนบุคคล (Personal Spending) เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนตุลาคม แม้จะชะลอลงจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้น 0.6% แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวอเมริกันยังคงมีความเชื่อมั่นและกำลังซื้อ แม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงและเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่เหนือเป้าหมายของเฟดที่ 2%
ราคาทองคำได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากเพิ่มโอกาสที่ Fed จะต้องรักษานโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไปนานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
และจากชุดข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญที่เปิดเผยออกมาในวันเดียวกันนี้ สะท้อนให้เห็นภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในด้านการบริโภคภาคเอกชนและตลาดแรงงาน แม้จะมีความเปราะบางในภาคการผลิตและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังคงมีอยู่ สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เฟดต้องระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
ราคาทองคำแสดงสัญญาณอ่อนตัวชัดเจนในระยะสั้น โดยปัจจุบันเคลื่อนไหวที่ระดับ 2,621 ดอลลาร์ และอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้งหมด ทั้ง EMA 12, EMA 26 และ EMA 200 ซึ่งเป็นสัญญาณลบที่บ่งชี้ถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ราคายังเคลื่อนตัวอยู่ใต้เส้นแนวโน้มขาลง (Downtrend Line) ที่ทำหน้าที่เป็นแนวต้านนับตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน ยิ่งเน้นย้ำถึงแนวโน้มขาลงที่ชัดเจนขึ้น
ดัชนี RSI ปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 50 และมีแนวโน้มลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับทิศทางราคาที่อ่อนตัว แม้ว่ายังไม่เข้าสู่ภาวะขายมากเกินไป (Oversold) แต่แนวโน้มของ RSI ที่ลงต่อเนื่องบ่งชี้ว่าแรงขายยังคงมีอยู่
ในระยะสั้น ราคามีโอกาสสูงที่จะปรับตัวลงทดสอบแนวรับสำคัญที่ 2,605 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับ แนวรับทางเทคนิค การที่ราคาอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยทั้งหมดเพิ่มความเสี่ยงที่ราคาอาจหลุดแนวรับนี้และปรับตัวลงต่อไปที่แนวรับถัดไปที่ 2,576 และ 2,554 ดอลลาร์ตามลำดับ
หากราคาจะกลับมาเป็นบวก จำเป็นต้องยืนเหนือแนวรับ 2,605 ดอลลาร์ได้อย่างแข็งแกร่งและผ่านเส้นค่าเฉลี่ยต่างๆ ขึ้นไปได้ โดยเฉพาะ EMA 12, 26 ที่ 2,640 ดอลลาร์ และ EMA 200 ที่ 2,654 ดอลลาร์ ก่อนที่จะไปทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 2,673 ดอลลาร์
จุดสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามคือการเคลื่อนไหวของราคาบริเวณแนวรับ 2,605 ดอลลาร์ เนื่องจากเป็นแนวรับสุดท้ายก่อนที่ราคาจะมีโอกาสปรับตัวลงแรง
แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,623
$2,605
$2,576
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,640
$2,654
$2,673
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน