วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 7 ม.ค. 2568
ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 7 มกราคม 2568 ราคาทองคำเริ่มต้นสัปดาห์ด้วยความผันผวนเล็กน้อย โดยราคาได้ลงไปที่ระดับ 2,614 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะดีดกลับมาทรงตัวที่ระดับ 2,640 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงเช้าวันนี้ แม้ว่าดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลง แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลกดดันราคาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย ขณะที่ตลาดให้ความสนใจกับความไม่ชัดเจนในนโยบายภาษีของประธานาธิบดีคนใหม่ Donald Trump ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ (DXY) ซึ่งวัดค่าเงินดอลลาร์เทียบกับตะกร้าเงิน 6 สกุลหลัก ปรับตัวลดลง 0.60% มาอยู่ที่ระดับ 108.27 หลังจากที่ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 วันที่ 107.75
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เปิดเผยออกมาสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวลง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างช้าๆ โดย S&P Global รายงานว่ากิจกรรมทางธุรกิจในภาคบริการปรับตัวลดลง และสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ (US Census Bureau) เปิดเผยว่ายอดคำสั่งซื้อภาคโรงงานในเดือนพฤศจิกายนลดลงหลังจากที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนก่อนหน้า
ธนาคารกลางทั่วโลกแห่ซื้อทองคำต่อเนื่อง - โปแลนด์ครองแชมป์ผู้ซื้อรายใหญ่สุดประจำปี 2024
ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเป็นผู้ซื้อทองคำรายสำคัญในเดือนพฤศจิกายน โดยเฉพาะธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ ตามรายงานของ Krishan Gopaul นักวิเคราะห์อาวุโสประจำภูมิภาค EMEA ของ World Gold Council ระบุว่าธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำสุทธิรวม 53 ตันในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่ธนาคารกลางโดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ยังคงสนใจซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากต้องการถือครองสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก
ธนาคารกลางโปแลนดครองตำแหน่งผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุด โดยเพิ่มทองคำในคลังสำรอง 21 ตันในเดือนพฤศจิกายน ส่งผลให้มีทองคำสำรองรวม 448 ตัน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 18% ของทุนสำรองทั้งหมด ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 20% การซื้อครั้งนี้ยังตอกย้ำสถานะผู้นำในการซื้อทองคำตั้งแต่ต้นปีด้วยปริมาณรวม 90 ตัน
ธนาคารกลางอุซเบกิสถานเพิ่มทองคำสำรอง 9 ตัน นับเป็นการเพิ่มครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ส่งผลให้มียอดซื้อสุทธิตั้งแต่ต้นปี 11 ตัน และมีทองคำสำรองรวม 382 ตัน ขณะที่ธนาคารกลางอินเดียยังคงซื้อทองคำต่อเนื่องในปี 2024 โดยซื้อเพิ่ม 8 ตันในเดือนพฤศจิกายน รวมเป็น 73 ตันตั้งแต่ต้นปี ทำให้มีทองคำสำรองรวม 876 ตัน และครองอันดับสองในด้านปริมาณการซื้อประจำปี 2024 รองจากโปแลนด์
Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป - ตลาดจับตาการประชุม FOMC
ในด้านนโยบายการเงิน Lisa Cook ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) กล่าวว่า Fed อาจใช้แนวทางค่อยเป็นค่อยไปในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากตลาดแรงงานยังแข็งแกร่งและอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ผู้กำหนดนโยบายต้องระมัดระวังมากขึ้น
โดยสัปดาห์นี้ตลาดจะติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี ISM ภาคบริการ รายงานการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก และรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ประจำเดือนธันวาคม
Goldman Sachs ปรับลดคาดการณ์ราคาทองปี 2025 - มองทะลุ 3,000 ดอลลาร์ในกลางปี 2026
การเปลี่ยนแปลงในมุมมองของ Goldman Sachs Group Inc. ต่อทิศทางราคาทองคำสะท้อนให้เห็นถึงตัวชี้วัดใหม่ในตลาดการเงินโลก โดยธนาคารได้ประกาศเมื่อวันอาทิตย์ถึงการปรับเปลี่ยนกรอบเวลาที่คาดว่าราคาทองจะทะลุระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากเดิมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปลายปี 2025 เป็นกลางปี 2026 แทน การปรับประมาณการครั้งนี้มีสาเหตุหลักมาจากแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้
ทีมนักวิเคราะห์นำโดย Lina Thomas และ Daan Struyven ได้อธิบายว่าการที่ Fed เลือกใช้แนวทางระมัดระวังในการผ่อนคลายนโยบายการเงินจะส่งผลโดยตรงต่อความต้องการลงทุนในกองทุน ETF ทองคำในปี 2025 โดยการประเมินล่าสุดระบุว่าราคาทองจะปรับตัวขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 2,910 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในไตรมาสที่ 4 ปัจจัยสำคัญอีกประการที่ทำให้จุดเริ่มต้นของราคาทองในปีนี้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาจากกระแสเงินไหลเข้า ETF ที่อ่อนแอในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ลดลงภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ปัจจัยขัดแย้งกดดันราคาทอง - แรงซื้อจากธนาคารกลางยังเป็นแรงหนุนระยะยาว
การเคลื่อนไหวในตลาดทองคำโลกกำลังได้รับอิทธิพลจากแรงกดดันที่ขัดแย้งกันสองประการ ได้แก่ ความต้องการเก็งกำไรที่ชะลอตัวลงและการซื้อทองคำของธนาคารกลางที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยนักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ระบุว่าปัจจัยทั้งสองได้หักล้างกันไป ส่งผลให้ราคาทองเคลื่อนไหวในกรอบแคบในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ธนาคารยังคงมองว่าความต้องการจากธนาคารกลางจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนราคาที่สำคัญในระยะยาว โดยคาดการณ์ว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะยังคงซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องที่ระดับเฉลี่ยเดือนละ 38 ตันไปจนถึงกลางปี 2026
ในด้านนโยบายการเงิน Goldman Sachs ได้ปรับลดคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้เหลือ 75 basis points จากเดิมที่คาดไว้ 100 basis points อย่างไรก็ตาม มุมมองนี้ยังคงมีท่าทีผ่อนคลายมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ในปัจจุบัน เนื่องจากธนาคารประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ยังแสดงความเห็นว่านโยบายของรัฐบาล Trump ที่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศอาจไม่ได้นำไปสู่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างที่หลายฝ่ายกังวล
เมื่อย้อนกลับไปดูมุมมองเดิมในวันที่ 18 พฤศจิกายน นักวิเคราะห์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ของ Goldman Sachs ยังคงยืนยันว่าราคาทองจะขึ้นไปแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในสิ้นปี 2025 แม้ว่าชัยชนะในการเลือกตั้งของ Donald Trump และการที่พรรครีพับลิกันกวาดที่นั่งในรัฐสภาจะกระตุ้นให้เกิดแรงเทขายทำกำไรในตลาดทองคำก็ตาม โดยธนาคารเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานที่ผลักดันให้ราคาทองพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ยังไม่ได้หายไปจากตลาด
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
ในช่วงการซื้อขายล่าสุด เราได้เห็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ โดยราคาได้มีการปรับตัวลงอย่างรวดเร็วไปทดสอบแนวรับที่ $2,614 ซึ่งเป็นระดับแนวรับที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือพฤติกรรมของราคาเมื่อลงไปถึงระดับนี้ เกิดแท่งเทียนสีเขียวขนาดใหญ่ที่มี Volume การซื้อขายสูง แสดงให้เห็นถึงแรงซื้อที่เข้ามาอย่างหนาแน่นที่บริเวณนี้
การที่ราคาสามารถดีดตัวกลับขึ้นมาจากระดับ $2,610 ได้อย่างรวดเร็วจนกลับมาอยู่ที่ $2,640 นั้น มีนัยยะสำคัญทางเทคนิคหลายประการ ประการแรก แสดงให้เห็นว่าแนวรับที่ $2,610 เป็นจุดที่มีแรงซื้อรอรับอยู่จำนวนมาก และนักลงทุนมองว่าระดับราคานี้เป็นระดับที่น่าสนใจในการเข้าซื้อ ประการที่สอง การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วนี้สะท้อนให้เห็นว่าแรงขายที่กดดันราคาลงมานั้นอาจเป็นเพียงการขายทำกำไรระยะสั้นเท่านั้น ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มหลักแต่อย่างใด
ที่สำคัญไปกว่านั้น การที่ราคาสามารถดีดตัวกลับขึ้นมาอยู่เหนือเส้น EMA ทั้งสองได้อีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเส้น EMA ระยะสั้น (สีฟ้า) ยังคงอยู่เหนือเส้น EMA ระยะยาว (สีส้ม) ซึ่งเป็นโครงสร้างของแนวโน้มขาขึ้น
มองไปข้างหน้า การที่ราคาสามารถฟื้นตัวกลับมาที่ $2,640 ได้นั้น ทำให้ต้องจับตาดูว่าราคาจะสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคงหรือไม่ หากสามารถยืนได้ โอกาสที่จะเห็นการปรับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ $2,657 ยังคงมีความเป็นไปได้สูง อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังแรงขายที่อาจเข้ามาที่บริเวณแนวต้านนี้ เนื่องจากเป็นจุดที่เคยมีแรงขายสะสมมาก่อน
ในระยะสั้น ระดับ $2,610 ได้กลายเป็นแนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง หากราคามีการปรับตัวลงมาอีกครั้ง การรักษาระดับเหนือจุดนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางเอาไว้ ขณะที่แนวต้านสำคัญในวันนี้ก็จะอยู่ที่ $2,640 ซึ่งเป็นบริเวณเส้นค่าเฉลี่ย EMA 200
แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,632
$2,623
$2,611
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,641
$2,656
$2,667
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน