วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 7 พ.ย. 2567

กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้

เทรดทองเดี๋ยวนี้ >     

*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣ 

*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰 

*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁

วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ตลาดทองคำเผชิญแรงเทขายอย่างรุนแรงในวันพุธ หลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 ประกาศชัยชนะให้กับอดีตประธานาธิบดี Donald Trump โดยราคาทองคำดิ่งลงต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ที่ระดับต่ำกว่า $2,700 ท่ามกลางการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ความไม่แน่นอนในตลาดเริ่มคลี่คลายลง เนื่องจากชัยชนะของทรัมป์ไม่ได้สูสีอย่างที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้พรรครีพับลิกันยังได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น คว้าเสียงข้างมากในวุฒิสภาและควบคุมสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างเบ็ดเสร็จ

ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (US Dollar Index) ซึ่งวัดค่าเงินดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุล แข็งค่าขึ้น 1.54% แตะระดับ 105.04 จุด สูงสุดในรอบ 4 เดือน ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี พุ่งขึ้น 16 basis points สู่ระดับ 4.437% สะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อแนวโน้มนโยบายการคลังแบบขาดดุลและมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจเกิดขึ้นภายใต้การนำของทรัมป์

Ole Hansen หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ที่ Saxo Bank กล่าวว่า แม้การร่วงลงของราคาทองคำจะรุนแรง แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนัก เมื่อพิจารณาจากการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา การแข็งค่าของดอลลาร์เป็นปัจจัยหลักที่กดดันราคาทองคำจนทะลุแนวรับสำคัญ ส่งผลให้เกิดการเทขายเพิ่มเติม

James Hyerczyk นักวิเคราะห์จาก FX Empire เตือนว่าราคาทองคำกำลังเผชิญการทดสอบแนวรับสำคัญใกล้ระดับ $2,636.66 การเทขายอย่างหนักทำให้ราคาทะลุแนวรับทางเทคนิคที่ $2,708 และ $2,697ส่งผลให้แนวโน้มกลับมาเป็นขาลง

นโยบายเศรษฐกิจทรัมป์สั่นสะเทือนตลาดการเงินโลก

นโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ที่มุ่งเน้นการเก็บภาษีนำเข้า การขาดดุลการคลังที่สูงขึ้น และการลดภาษี ถูกมองว่าขัดแย้งกับการต่อสู้กับเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ส่งผลให้ Fed อาจต้องชะลอการผ่อนคลายนโยบายการเงิน Paul Christopher นักวิเคราะห์จาก Wells Fargo ระบุว่า การเก็บภาษีนำเข้าอาจกระตุ้นกิจกรรมทางธุรกิจภายในประเทศ ซึ่งจะยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับดอลลาร์สหรัฐ และกดดันราคาทองคำเพิ่มเติม

ตลาดพันธบัตรตอบสนองต่อชัยชนะของทรัมป์อย่างรุนแรง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะ 4.47% สูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม สะท้อนการคาดการณ์เงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากนโยบายการคลังและการลดภาษีที่พรรครีพับลิกันอาจผลักดันในสภาคองเกรสที่ควบคุมทั้งสองสภา ศาสตราจารย์ Jeremy Siegel ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน กล่าวว่าการควบคุมสภาทั้งสองของพรรครีพับลิกันอาจนำมาซึ่งนโยบายกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะผลักดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรให้สูงขึ้นและเพิ่มความกังวลด้านเงินเฟ้อ

สงครามการค้ารอบใหม่ส่งสัญญาณเตือนตลาดทองคำ

Bob Haberkorn นายหน้าซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์อาวุโสที่ RJO Futures มองว่า มาตรการภาษีนำเข้าที่ทรัมป์ขู่ว่าจะใช้จะสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อ และอาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการใช้ภาษีนำเข้าทดแทนภาษีเงินได้ คล้ายกับรูปแบบการบริหารประเทศก่อนปี 1916-1917 อย่างไรก็ตาม Haberkorn เชื่อว่าในขณะนี้การขู่เรื่องภาษีนำเข้าเป็นเพียงกลยุทธ์การเจรจาต่อรอง แต่ก็เป็นเครื่องมือที่ทรัมป์สามารถนำมาใช้ได้จริงหากการเจรจาข้อตกลงทางการค้าไม่เป็นไปตามที่ต้องการ

Darin Newsom นักวิเคราะห์อาวุโสที่ Barchart.com เตือนว่าจากประสบการณ์ในสมัยแรกของทรัมป์ที่มีการเก็บภาษีนำเข้าสูงและข้อพิพาททางการค้าที่รุนแรง การขู่ครั้งนี้ควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง เขามองว่าสงครามการค้าและการเก็บภาษีนำเข้าจะบั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เนื่องจากทำให้ต้นทุนสูงขึ้น นอกจากนี้ ชัยชนะของพรรครีพับลิกันยังอาจเสริมความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตร BRICS ซึ่งประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และประเทศอื่นๆ ส่งผลให้ทองคำยังคงได้รับแรงหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์

โอกาสฟื้นตัวยังมีแม้เผชิญความท้าทายระยะสั้น

Matthew Jones นักวิเคราะห์ด้านโลหะมีค่าจาก Solomon Global มองว่าแม้จะมีแรงกดดันในระยะสั้น แต่อนาคตของทองคำยังสดใส สัญญาการกระตุ้นเศรษฐกิจผลักดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น ขณะที่ตลาดเริ่มประเมินความเสี่ยงเงินเฟ้อและการเติบโตภายใต้การบริหารของทรัมป์ การแข็งค่าของดอลลาร์และผลตอบแทนที่สูงขึ้นกดดันทองคำ ซึ่งตามปกติจะปรับตัวลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเพิ่มขึ้น สะท้อนความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่ลดลงในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ในมุมมองระยะยาว นโยบาย America First ของทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มภาษีนำเข้าทั่วทั้งระบบ อาจส่งผลดีต่อโลหะมีค่า

Ole Hansen จาก Saxo Bank เสริมว่า การร่วงลงครั้งนี้อาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ เนื่องจากสถานการณ์หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ มีแนวโน้มแย่ลง เว้นแต่จะมีการปฏิรูปการใช้จ่ายภาครัฐอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การเก็บภาษีนำเข้าจะยิ่งสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อ ซึ่งควรชดเชยผลกระทบจากการชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ความท้าทายที่สำคัญที่สุดในระยะสั้นคือแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างกันของธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งสนับสนุนการแข็งค่าของดอลลาร์

แรงกดดันเพิ่มจากการประชุม Fed - จับตาสัญญาณนโยบายการเงินกดดันทองคำ

การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐในวันนี้ กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่กดดันราคาทองคำเพิ่มเติม แม้ตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 basis points สู่ระดับ 4.50%-4.75% แต่ความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจเร่งตัวขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ อาจทำให้ Fed ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป

Paul Christopher นักวิเคราะห์จาก Wells Fargo เสริมว่า ข้อเสนอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นของทรัมป์ อาจทำให้ Fed จำเป็นต้องรักษานโยบายการเงินที่เข้มงวดไว้นานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ เพื่อควบคุมแรงกดดันเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่พรรครีพับลิกันควบคุมทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งเพิ่มโอกาสในการผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่

นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาถ้อยแถลงของประธาน Fed และท่าทีของคณะกรรมการเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายการค้าที่อาจมีต่อเงินเฟ้อ โดยเฉพาะประเด็นการขึ้นภาษีนำเข้าที่ทรัมป์เคยประกาศว่าจะเรียกเก็บในอัตราอย่างน้อย 10% กับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนสินค้าและแรงกดดันเงินเฟ้อ

Matthew Miller นักวิเคราะห์จาก TD Securities ประเมินว่า หาก Fed ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดดอกเบี้ยหรือแสดงความกังวลต่อความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ อาจทำให้ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวลงทดสอบแนวรับถัดไปที่ $2,600 โดยเฉพาะในภาวะที่ดัชนีดอลลาร์ยังคงแข็งแกร่งและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ในระดับสูง

ราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงแรงหลุดแนวรับสำคัญหลายระดับ โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ $2,648 เมื่อพิจารณาระดับ Fibonacci Retracement พบว่าราคาได้หลุดระดับ 61.8% ($2,673) ลงมาอย่างรวดเร็ว และกำลังมุ่งหน้าไปทดสอบแนวรับที่ระดับ 78.6% ($2,642)

การเคลื่อนไหวของเส้นค่าเฉลี่ย EMA แสดงให้เห็นสัญญาณขาลงที่ชัดเจน โดยราคาได้หลุดทั้ง EMA 12 และ EMA 26 ลงมา ขณะที่เส้น EMA 200 (สีส้ม) ซึ่งเป็นแนวโน้มระยะยาวกำลังวิ่งขึ้นที่บริเวณ $2,682 แต่ไม่สามารถรับแรงขายในระยะสั้นได้

ดัชนี RSI ปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 30 สะท้อนภาวะขายมากเกินไป (Oversold) และมีการเกิด Bearish Divergence ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนการปรับฐานที่แม่นยำ อย่างไรก็ตาม ภาวะ Oversold นี้อาจนำไปสู่การดีดตัวกลับในระยะสั้นได้

แนวโน้มใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า คาดว่าราคาทองคำจะยังคงอยู่ในทิศทางขาลง โดยมีแนวรับสำคัญตามระดับ Fibonacci ที่ต้องจับตาดังนี้

• แนวรับที่ 76.8% อยู่ที่ $2,642

• แนวรับที่ 88.7% อยู่ที่ $2,624

• แนวรับที่ 94.2% อยู่ที่ $2,614

• แนวรับที่ 100% อยู่ที่ $2,602

ส่วนแนวต้านสำคัญอยู่ที่

• แนวต้านที่ 61.8% ที่ $2,673

• แนวต้านเส้น EMA 200 ที่ $2,682

• แนวต้านที่ 50% ที่ $2,694

หากราคาไม่สามารถยืนเหนือแนวต้าน 61.8% ที่ $2,673 ได้ มีโอกาสที่จะปรับตัวลงทดสอบแนวรับ 76.8% ที่ $2,642 และอาจลงไปถึง 100% ที่ $2,602 ในกรณีที่แรงขายยังคงมีอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนควรติดตามการปิดแท่งเทียน 4 ชั่วโมงที่ระดับ Fibonacci สำคัญเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อยืนยันทิศทางและจังหวะการเข้าลงทุนที่เหมาะสม

แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $2,642

• $2,624

• $2,602

แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $2,673

• $2,682

• $2,694