วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 13 ธ.ค. 2567
ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 13 ธันวาคม 2567 ราคาทองคำปรับตัวลดลงในวันพฤหัสบดี หลังจากที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 4 วัน เนื่องจากนักลงทุนกำลังวิเคราะห์ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาในทิศทางที่แตกต่างกัน โดยตัวเลขการจ้างงานออกมาต่ำกว่าคาด ในขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) กลับสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้นักลงทุนชะลอการเข้าซื้อทองคำ นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1.5 เบสิสพอยต์ มาอยู่ที่ 4.289% ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่กดดันราคาทองคำ
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ สูงกว่าคาด กดดันราคาทองคำ
ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพฤศจิกายนปรับตัวขึ้น 0.4% จากเดือนตุลาคมที่ขยายตัว 0.3% ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 0.3% ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้น 3.0% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.5% และสูงกว่าตัวเลขเดือนตุลาคมที่ 2.6% ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.2% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.3% แต่เมื่อเทียบรายปีกลับเพิ่มขึ้น 3.4% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.3% และสูงกว่าตัวเลขเดือนตุลาคมที่ 3.1%
นักวิเคราะห์ตลาดระบุว่า การลดลงของดัชนีราคาผู้ผลิตควบคู่ไปกับการปรับตัวดีขึ้นของอัตราเงินเฟ้อจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อๆ ไป ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนแนวโน้มการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในระยะยาว ทั้งนี้ ตลาดให้น้ำหนักถึง 98% ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ธันวาคมนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ระดับ 4.25-4.50%
ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอตัว หลังตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานพุ่งเกินคาด
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ก็เปิดเผยข้อมูลว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 7 ธันวาคม เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 242,000 ราย สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 221,000 ราย และสูงกว่าสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 224,000 ราย
ส่วนจำนวนผู้ที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 30 พฤศจิกายน อยู่ที่ 1.886 ล้านราย สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.870 ล้านราย และสูงกว่าตัวเลขสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 1.871 ล้านราย สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ Fed ในช่วงที่ผ่านมา
ECB ปรับลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ติดต่อกัน หลังเงินเฟ้อใกล้เป้าหมาย 2%
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้ง 3 อัตราลง 0.25% โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (Deposit Facility Rate) ลดลงเหลือ 3.00% อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ (Main Refinancing Rate) ลดลงเหลือ 3.15% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (Marginal Lending Rate) ลดลงเหลือ 3.40% แม้ว่าตลาดจะคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ไว้แล้ว แต่บางส่วนอาจรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เนื่องจากมีความคาดหวังว่า ECB อาจปรับลดดอกเบี้ยในอัตราที่มากกว่านี้
ECB ระบุในแถลงการณ์นโยบายการเงินว่า แม้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวในไตรมาส 3 ของปีนี้ แต่ดัชนีชี้วัดต่างๆ บ่งชี้ว่าการเติบโตชะลอตัวลงในไตรมาสปัจจุบัน โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 0.7% ในปี 2024 1.1% ในปี 2025 1.4% ในปี 2026 และ 1.3% ในปี 2027 การฟื้นตัวที่คาดการณ์ไว้นี้มีปัจจัยสนับสนุนหลักจากรายได้ที่แท้จริงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ครัวเรือนสามารถบริโภคได้มากขึ้น และการเพิ่มการลงทุนของภาคธุรกิจ
นักวิเคราะห์บางรายระบุว่า ชัยชนะของ Donald Trump ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือนที่แล้ว กำลังสร้างความกังวลว่าเศรษฐกิจยุโรปอาจประสบปัญหาในปีหน้า โดยคาดว่านโยบาย America First และการเน้นใช้มาตรการภาษีของประธานาธิบดีคนใหม่ จะยิ่งซ้ำเติมภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจในยุโรป
Michael Brown หัวหน้านักยุทธศาสตร์วิจัยที่ Pepperstone ให้ความเห็นว่า การคาดการณ์เหล่านี้ควรพิจารณาด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นล่าสุดในฝรั่งเศสและเยอรมนี รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้มาตรการภาษีของรัฐบาล Trump ในช่วงต้นปีหน้า เขาคาดว่า ECB จะยังคงปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งละ 0.25% ในการประชุม 4 ครั้งถัดไป โดยมีความเสี่ยงที่อาจมีการปรับลดมากกว่านี้ รวมถึงอาจมีการปรับลดครั้งละ 0.50%
ING คาดราคาทองปี 2025 แตะระดับสูงสุดใหม่ จากปัจจัยบวกทั้งด้านเศรษฐกิจมหภาคและความเสี่ยงทางการเมือง
ING ประเมินว่าราคาทองคำจะยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในปี 2025 โดยได้แรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่และการเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลก
Ewa Manthey นักยุทธศาสตร์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ของ ING ระบุว่าประเด็นสำคัญสำหรับตลาดทองคำในขณะนี้คืออัตราเร่งในการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ Fed ภายหลังจากชัยชนะของ Donald Trump ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื่องจากผลกระทบด้านเงินเฟ้อจากนโยบายของ Trump อาจนำไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ James Knightley หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ING คาดว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอี
ก 0.25% ในการประชุมเดือนธันวาคม แต่แนวโน้มหลังจากนั้นยังไม่ชัดเจน และมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการหยุดพักในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) เดือนมกราคม
Knightley ได้ปรับลดคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 จากเดิมที่ 0.50% เหลือ 0.25% ต่อไตรมาส โดยเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2025 และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 3.75% ในไตรมาส 3 ปี 2025
ING คาดการณ์ว่าราคาทองคำจะเฉลี่ยอยู่ที่ 2,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในไตรมาส 1 และ 2 ของปี 2025 ก่อนที่จะปรับตัวลงมาอยู่ที่ 2,750 ดอลลาร์ในไตรมาส 3 และ 2,700 ดอลลาร์ในไตรมาส 4 ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยทั้งปี 2025 อยู่ที่ 2,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
จากการวิเคราะห์กราฟราคาทองคำในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง พบว่าราคาทองคำกำลังแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวที่น่าสนใจ โดยในช่วงที่ผ่านมา ราคาได้แสดงความแข็งแกร่งด้วยการทะยานขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ $2,726 ก่อนที่จะมีการพักฐานลงมาเล็กน้อย มาอยู่ที่ระดับ $2,690 ในปัจจุบัน
เมื่อพิจารณาจากการเคลื่อนไหวของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ พบว่าเส้น EMA 12 (สีแดง) และ EMA 26 (สีฟ้า) ยังคงวางตัวในลักษณะที่ส่งสัญญาณบวก โดยเส้น EMA 12 ยังคงอยู่เหนือเส้น EMA 26 อย่างชัดเจน แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นในระยะสั้นที่ยังมีความแข็งแรง นอกจากนี้ การที่ราคายังคงเคลื่อนตัวอยู่เหนือเส้น EMA 200 (สีส้ม) อย่างมีนัยสำคัญ ยังเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางที่ยังคงสมบูรณ์
การวิเคราะห์ดัชนี RSI แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่น่าติดตาม โดย RSI ได้ปรับตัวลงจากเขต Overbought ที่ระดับ 70 ซึ่งสะท้อนถึงการพักฐานของราคาในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การที่ RSI ยังไม่ได้หลุดต่ำกว่าระดับ 50 แสดงว่าแรงขายยังไม่รุนแรงมากนัก และยังมีโอกาสที่ราคาจะฟื้นตัวขึ้นได้อีกครั้ง
สำหรับระดับราคาสำคัญที่ต้องจับตา แนวต้านที่สำคัญอยู่ที่ $2,706 และ $2,721 - 2,726 โดยเฉพาะแนวต้านที่สองที่เป็นจุดสูงสุดล่าสุด ส่วนแนวรับสำคัญอยู่ที่ $2,673 และ $2,654 ซึ่งเป็นระดับที่มีเส้น EMA สำคัญวางตัวอยู่
ในการคาดการณ์แนวโน้ม 24 ชั่วโมงข้างหน้า ราคาทองคำมีโอกาสที่จะแกว่งตัวในกรอบ โดยมีแนวโน้มที่จะทดสอบแนวรับที่ $2,673 ก่อน หากระดับนี้สามารถรับแรงขายได้ดี ราคาอาจจะฟื้นตัวขึ้นเพื่อทดสอบแนวต้านที่ $2,721 อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามการเคลื่อนไหวของ RSI อย่างใกล้ชิด เนื่องจากหาก RSI หลุดต่ำกว่าระดับ 50 อาจเป็นสัญญาณของการอ่อนตัวที่อาจลึกกว่าที่คาด
โดยสรุป แม้ว่าแนวโน้มหลักยังคงเป็นขาขึ้น แต่ในระยะสั้นอาจเห็นการพักฐานของราคา เพื่อสร้างฐานราคาใหม่ก่อนที่จะมีการปรับตัวขึ้นต่อไป นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการเข้าซื้อ โดยรอจังหวะให้ราคาย่อตัวลงมาที่แนวรับสำคัญก่อนพิจารณาเข้าซื้อ และควรวางจุดตัดขาดทุนไว้ใต้แนวรับสำคัญเพื่อจำกัดความเสี่ยง
แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,686
$2,673
$2,654
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,706
$2,721
$2,739
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน