วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 19 ธ.ค. 2567

กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้

เทรดทองเดี๋ยวนี้ >     

*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣ 

*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰 

*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁

วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ตลาดทองคำเผชิญแรงเทขายอย่างหนักเช่นเดียวกับตลาดทั่วโลก หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมนโยบายการเงินครั้งสุดท้ายของปี 2024 โดยราคาทองคำในตลาด XAU/USD ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 2,600 ดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงมากกว่า 2.28% สะท้อนความผิดหวังของนักลงทุนต่อท่าทีที่แข็งกร้าวขึ้นของ Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ

แม้นี่จะไม่ใช่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดคือการที่ Powell ส่งสัญญาณว่า Fed อาจต้องระมัดระวังมากขึ้นในการปรับนโยบายการเงินในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่ยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้น แม้ว่านโยบายการเงินในปัจจุบันจะมีความเข้มงวดน้อยลงแล้วก็ตาม

Powell ยังระบุว่าอาจต้องใช้เวลา 1-2 ปีกว่าที่อัตราเงินเฟ้อจะกลับมาสู่เป้าหมายที่ 2% แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดจะแสดงให้เห็นว่าตลาดแรงงานเริ่มผ่อนคลายลง และอัตราการว่างงานปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ที่น่าสนใจคือการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเอกฉันท์ โดย Beth Hammack ประธานธนาคารกลางสหรัฐสาขา Cleveland ได้แสดงจุดยืนที่แตกต่างด้วยการลงมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม

Fed ปรับลดคาดการณ์การผ่อนคลายนโยบายการเงิน พร้อมเผยมุมมองเศรษฐกิจปี 2025-2026

รายงาน Summary of Economic Projections (SEP) ฉบับล่าสุดเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในมุมมองของคณะกรรมการ Fed โดยคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปี 2025 และอีก 2 ครั้งในปี 2026 ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก โดยประมาณการว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ระดับ 3.9% ในปี 2025 และลดลงเป็น 3.4% ในปี 2026

ในด้านเงินเฟ้อ Fed คาดการณ์ว่าดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่ Fed ให้ความสำคัญ จะอยู่ที่ระดับ 2.8% ในปี 2024 ก่อนที่จะค่อยๆ ปรับตัวลดลงเป็น 2.5% ในปี 2025 และ 2.2% ในปี 2026 ซึ่งยังคงสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% อย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ Fed มีมุมมองที่ค่อนข้างเป็นบวก โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเติบโตที่ 2.5% ในปี 2024 แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตจะชะลอตัวลงเป็น 2.1% ในปี 2025 และ 2.0% ในปี 2026 ตามลำดับ ด้านตลาดแรงงาน คาดว่าอัตราการว่างงานจะอยู่ที่ 4.4% ในปีนี้ และทรงตัวที่ระดับ 4.3% ในปี 2025 และ 2026 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานที่ยังคงดำเนินต่อไป

ตลาดการเงินทั่วโลกสะเทือน ดาวโจนส์ดิ่งกว่า 1,100 จุดหลัง Fed ส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ย

การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ผ่านมาได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ให้กับตลาดการเงินทั่วโลก โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดร่วงลงกว่า 1,100 จุด ท่ามกลางความผิดหวังของนักลงทุนต่อท่าทีที่ระมัดระวังมากขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนการปรับเปลี่ยนมุมมองของนักลงทุนที่คาดว่า Fed จะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025

Jerome Powell ประธาน Fed ได้กล่าวในการแถลงข่าวหลังการประชุมว่า การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่านมาส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงแล้ว 1 เปอร์เซ็นต์จากจุดสูงสุด และนโยบายการเงินในปัจจุบันมีความเข้มงวดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเหตุนี้ Fed จึงจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการพิจารณาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต

ตลาด Fed Fund Futures ซึ่งสะท้อนความคาดหวังของนักลงทุนต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ได้ปรับลดความน่าจะเป็นของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 ลงอย่างมีนัยสำคัญ ตามข้อมูลจาก CME Group's FedWatch Tool แสดงให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มปรับมุมมองสอดคล้องกับการคาดการณ์ของ Fed ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีหน้า

Fed ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจ-เงินเฟ้อ พร้อมเผชิญความท้าทายจากนโยบายของ Trump

นอกจากคณะกรรมการ Fed จะปรับเพิ่มประมาณการการเติบโต GDP สำหรับปี 2024 ขึ้นเป็น 2.5% เพิ่มขึ้น 0.5% จากประมาณการในเดือนกันยายนแล้ว แต่ Fed คาดว่าในปีต่อๆ ไป เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงสู่ระดับการเติบโตระยะยาวที่ 1.8% ท่ามกลางความท้าทายจากหลายปัจจัย

ที่น่าสนใจคือ Fed จะต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่จากนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ Donald Trump ที่มีแผนจะดำเนินนโยบายด้านภาษี การค้า และการเข้าเมือง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อและทำให้การดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ซับซ้อนมากขึ้น Powell กล่าวว่า Fed จำเป็นต้องใช้เวลาในการประเมินผลกระทบจากนโยบายต่างๆ อย่างรอบคอบ และจะดำเนินการเมื่อเห็นการนำนโยบายไปปฏิบัติจริงเท่านั้น

UBS มองทองคำทะยานแตะ 2,900 ดอลลาร์ในปี 2025 ท่ามกลางแรงหนุนจากธนาคารกลางทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม แม้ราคาทองคำจะปรับตัวลดลง แต่ทางด้านธนาคาร UBS ได้แสดงความเชื่อมั่นว่าราคาทองคำจะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ระดับ 2,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปี 2025 แม้ว่าราคาจะปรับตัวลดลง แต่เมื่อพิจารณาผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ทองคำยังคงให้ผลตอบแทนสูงถึง 28% ซึ่งสูงกว่าดัชนี S&P 500

ปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากความต้องการที่แข็งแกร่งของธนาคารกลางทั่วโลก โดยข้อมูลล่าสุดจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แสดงให้เห็นว่าการซื้อทองคำสุทธิของธนาคารกลางในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดของปี 2024 ส่งผลให้ UBS ปรับเพิ่มประมาณการปริมาณการซื้อทองคำของภาคทางการในปีนี้เป็น 982 เมตริกตัน จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 900 เมตริกตัน

แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะต่ำกว่าระดับการซื้อในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยการซื้ออย่างมีนัยสำคัญ UBS คาดว่าแรงซื้อที่แข็งแกร่งจะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2025 ท่ามกลางความพยายามของประเทศต่างๆ ในการลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ (de-dollarization) โดยประมาณการว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะซื้อทองคำอีกอย่างน้อย 900 เมตริกตันในปีหน้า

นอกเหนือจากแรงซื้อของธนาคารกลาง UBS ยังมองว่ามีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ที่จะช่วยผลักดันราคาทองคำในปี 2025 โดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายในสหรัฐฯ แม้ว่านโยบายของประธานาธิบดี Donald Trump จะได้รับการประกาศอย่างชัดเจน แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการนำไปปฏิบัติจริงในด้านการคลัง การค้า และภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงแนวทางการเจรจาต่อรองแบบเฉพาะตัวของเขา

ความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินอยู่ในยูเครน-รัสเซีย และสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ยังคงซับซ้อน เป็นอีกปัจจัยที่จะกระตุ้นความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย UBS คาดว่าความต้องการเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดกระแสเงินไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำมากขึ้น

จากการวิเคราะห์กราฟราคาทองคำในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง พบว่าราคาเกิดการปรับตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา โดยหลุดแนวรับสำคัญหลายระดับ จนมาทำจุดต่ำสุดที่บริเวณ $2,582 ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาพยุงราคา ส่งผลให้ราคาปัจจุบันอยู่ที่ $2,615

เมื่อพิจารณาจากการวางตัวของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ พบว่าเส้น EMA 12 (สีแดง) และ EMA 26 (สีฟ้า) ยังคงปรับตัวลงและแยกห่างจากกันมากขึ้น โดยทั้งสองเส้นอยู่ต่ำกว่าเส้น EMA 200 (สีส้ม) อย่างชัดเจน สะท้อนภาพแนวโน้มขาลงที่ยังมีความรุนแรง

ในส่วนของดัชนี RSI พบว่าได้ฟื้นตัวขึ้นจากภาวะขายมากเกินไป (Oversold) หลังจากที่เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 30 แต่ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลง สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของราคาที่ยังไม่แสดงสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน

สำหรับระดับราคาสำคัญที่ต้องติดตาม แนวรับที่สำคัญในระยะสั้นอยู่ที่ $2,603 และ $2,583 โดยเฉพาะระดับ $2,583 ซึ่งเป็นแนวรับแข็งแกร่งที่หากราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ จะช่วยชะลอการปรับตัวลงได้ ในขณะที่แนวต้านสำคัญอยู่ที่ $2,621 และ $2,635 ตามลำดับ

ในการคาดการณ์แนวโน้ม 24 ชั่วโมงข้างหน้า คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง $2,603 ถึง $2,621 โดยหากราคาไม่สามารถยืนเหนือแนวต้าน $2,621 ได้อย่างมั่นคง มีโอกาสที่จะเห็นการปรับตัวลงทดสอบแนวรับที่ $2,603 อีกครั้ง และหากแนวรับนี้ไม่สามารถรับแรงขายได้ ราคาอาจปรับตัวลงต่อเนื่องไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ $2,583 อย่างไรก็ตาม หากราคาสามารถยืนเหนือแนวต้าน $2,621 ได้ อาจเห็นการฟื้นตัวขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ $2,635

แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $2,582

• $2,554

• $2,537

แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $2,603

• $2,621

• $2,656