วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 24 ม.ค. 2568
ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 24 มกราคม 2568 ราคาทองคำยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 2,758 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังจากปรับตัวลดลงชั่วคราวสู่ระดับต่ำสุดเมื่อวานที่ 2,735 ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury bond yields) ที่เพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดจากสหรัฐฯ จะชี้ให้เห็นว่าตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัวลง แต่ปัจจัยอื่นๆ เช่น นโยบายการค้าของประธานาธิบดี Donald Trump และความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (Greenback) ยังคงส่งผลต่อตลาดทองคำ
ตลาดทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ โดยดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งวัดค่าดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุล ปรับตัวลดลง 0.08% มาอยู่ที่ 108.06 จุด ส่งผลให้ทองคำมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่ตลาดทองคำยังมีแนวโน้มที่จะปิดสัปดาห์นี้ด้วยแรงบวกที่แข็งแกร่ง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-haven asset) ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังชี้ว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจโลก รวมถึงความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง (Hedge against uncertainty)
ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ชะลอตัว แต่อาจเป็นเพราะภัยธรรมชาติ
ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (US Department of Labor) เปิดเผยว่าจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) เพิ่มขึ้น 6,000 คน สู่ระดับ 223,000 คน ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 18 มกราคม ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์เล็กน้อย โดยนักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 221,000 คน ส่วนตัวเลขของสัปดาห์ก่อนหน้ายังคงไม่มีการแก้ไขที่ 217,000 คน
แม้ตัวเลขดังกล่าวจะสะท้อนถึงการชะลอตัวของตลาดแรงงาน แต่รายงานระบุว่าสาเหตุหลักมาจากเหตุการณ์ต่างๆ เช่น สภาพอากาศที่รุนแรงและเหตุการณ์ไฟไหม้ในลอสแองเจลิส ซึ่งคาดว่าจะส่งผลต่อข้อมูลในสัปดาห์ต่อๆ ไป นอกจากนี้ ตัวเลขเฉลี่ยยอดขอรับสวัสดิการว่างงานในช่วง 4 สัปดาห์ เพิ่มขึ้น 750 คน สู่ระดับ 213,500 คน ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดที่เสถียรกว่าการดูข้อมูลรายสัปดาห์
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 46,000 คน สู่ระดับ 1.974 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 สิ่งนี้สะท้อนถึงความยากลำบากของผู้ว่างงานในการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน และอาจเป็นสัญญาณของความอ่อนแอที่เพิ่มขึ้นในตลาดแรงงานสหรัฐฯ
นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนระบุว่าตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ เนื่องจากสะท้อนถึงความท้าทายในการหางานของผู้ที่ว่างงานอยู่แล้ว ซึ่งอาจส่งผลต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระยะยาว
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานยังอาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในไตรมาสแรกของปี 2024 โดยนักวิเคราะห์คาดว่า GDP ของสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงหากตลาดแรงงานยังคงอ่อนแอต่อไป
นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรปเป็นปัจจัยจับตา
ตลาดการเงินกำลังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลายแห่งในสัปดาห์นี้ โดยเริ่มจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ที่คาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25 จุดฐาน ในวันนี้ ตามมาด้วยการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับปัจจุบัน ในขณะที่ ECB อาจลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดฐาน
การตัดสินใจของ Fed อยู่ในความสนใจของนักลงทุน เนื่องจากประธานาธิบดี Trump ได้ออกมาเรียกร้องให้ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยทันที โดยอ้างถึงภาวะราคาน้ำมันที่ลดลงและความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม Fed ยังคงระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังคงมีอยู่
Jerome Powell ประธาน Fed กล่าวว่า การตัดสินใจด้านนโยบายการเงินจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดและความเสี่ยงต่อเป้าหมายหลักของ Fed ซึ่งได้แก่ การรักษาเสถียรภาพราคาและการส่งเสริมการจ้างงานเต็มที่ นอกจากนี้ Fed ยังต้องพิจารณาผลกระทบจากนโยบายการค้าและการคลังของรัฐบาล Trump ที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะยาว
นอกจากนี้ Fed ยังเผชิญกับความท้าทายในการปรับสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและการควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและต้องการการวิเคราะห์อย่างละเอียดจากผู้กำหนดนโยบาย
แรงกดดันด้านเงินเฟ้อและนโยบายการค้าของ Trump
นโยบายการค้าของประธานาธิบดี Trump ที่เน้นการขึ้นภาษีนำเข้า และแผนการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายจำนวนมาก อาจส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่นักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนกำลังจับตา หากแรงกดดันดังกล่าวเกิดขึ้น Fed อาจต้องพิจารณาว่าเป็นเหตุการณ์ชั่วคราวหรือเป็นแนวโน้มระยะยาวที่อาจส่งผลให้ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
Christopher Waller ผู้ว่าการ Fed กล่าวว่า หากแนวโน้มเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ การลดอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นได้ในครึ่งแรกของปี 2024 Waller ยังแสดงความเชื่อมั่นว่า นโยบายภาษีของ Trump จะไม่ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อในระยะยาว เนื่องจากผลกระทบจากภาษีนำเข้าอาจถูกชดเชยด้วยปัจจัยอื่นๆ ในเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนยังคงกังวลว่า นโยบายการค้าที่ก้าวร้าวของ Trump อาจทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลให้ราคาสินค้าภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งอาจทำให้ Fed ต้องปรับนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับสถานการณ์
นอกจากนี้ การขึ้นภาษีนำเข้าอาจส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าหลัก เช่น จีนและสหภาพยุโรป ตึงเครียดมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว
ความไม่แน่นอนทางนโยบายและทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการคลัง การค้า การย้ายถิ่นฐาน และกฎระเบียบของสหรัฐฯ กำลังสร้างความท้าทายให้กับ Fed ในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน John Williams ประธานธนาคารกลางนิวยอร์กกล่าวว่า ความไม่แน่นอนเหล่านี้ทำให้การคาดการณ์เศรษฐกิจและการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินเป็นไปได้ยาก
Williams ยังเน้นย้ำว่า Fed จะต้องพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการค้าและความผันผวนของตลาดการเงิน
นอกจากนี้ Fed ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและการควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและต้องการการวิเคราะห์อย่างละเอียดจากผู้กำหนดนโยบาย
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงจับตาการเคลื่อนไหวของตลาดการเงินอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของตลาดทองคำและสินทรัพย์อื่นๆ ในระยะสั้นและระยะยาว
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
ราคาทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ $2,759 และยังคงเคลื่อนตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA) ระยะสั้นและกลาง ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่สนับสนุนแนวโน้มนี้ เส้น EMA ระยะสั้น (12) และเส้น EMA ระยะกลาง (26) ยังคงชี้ขึ้นในมุมที่ชัดเจน และห่างจากเส้น EMA ระยะยาว (200) มากขึ้น แสดงถึงแรงเหวี่ยงของแนวโน้มขาขึ้นที่ยังคงแข็งแกร่ง
ระดับแนวต้านหลักในขณะนี้อยู่ที่ $2,762 และ $2,780 ซึ่งเป็นระดับที่สำคัญที่ราคาอาจจะทดสอบในกรณีที่แนวโน้มขาขึ้นยังคงดำเนินต่อไป ในทางกลับกัน แนวรับสำคัญอยู่ที่ $2,739 และ $2,726 ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมในการพิจารณาเข้าซื้อหากราคาปรับตัวลงมา
เมื่อพิจารณาจากรูปแบบแท่งเทียนล่าสุด พบว่าราคาเกิดการพักตัวในลักษณะ Consolidation ในกรอบแคบระหว่าง $2,752-2,762 โดยมีแท่งเทียนขนาดเล็กแสดงถึงการชะลอตัวของโมเมนตัมการปรับตัวขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับที่ได้เตือนไว้เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการเกิด Exhaustion ในระยะสั้น
การเคลื่อนไหวของ RSI ในกรอบ 4 ชั่วโมงเริ่มปรับตัวลดลงจาก Overbought สอดคล้องกับ Stochastic RSI ที่เริ่มแสดงการเคลื่อนไหวในลักษณะ Crossover ลง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการพักฐานในระยะสั้น
สำหรับกลยุทธ์การเทรดในระยะสั้น ควรระมัดระวังการเปิดสถานะใหม่ในช่วงนี้ เนื่องจากราคาอาจเกิดการพักฐานลงมาทดสอบแนวรับที่ $2,739 และ $2,726 ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมในการพิจารณาเข้าซื้อ โดยมีจุด Stop Loss ไว้ที่ระดับต่ำกว่า $2,712
ในกรณีที่ราคาสามารถยืนเหนือ $2,752 ได้อย่างมั่นคง โดยมีปริมาณการซื้อขายสนับสนุน อาจเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นการปรับตัวขึ้นรอบใหม่ โดยมีเป้าหมายถัดไปที่ $2,762 และ $2,780 ตามลำดับ
แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,752
$2,739
$2,726
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,762
$2,780
$2,790
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน