วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 17 ธ.ค. 2567
ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ตลาดทองคำในช่วงต้นสัปดาห์ยังคงค่อนข้างทรงตัว โดยราคา XAU/USD อยู่ระดับ 2,654 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในเช้าวันนี้ ท่ามกลางความคาดหวังของนักลงทุนทั่วโลกต่อการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ครั้งสุดท้ายของปีที่จะมีขึ้นในพรุ้งนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 basis points ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนโยบายการเงินในรอบหลายปี
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดจาก S&P Global Flash PMIs สำหรับเดือนธันวาคมออกมาในลักษณะผสมผสาน สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่มีทั้งดีและแย่ โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตปรับตัวลดลงหลังจากที่ฟื้นตัวขึ้นในเดือนที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ภาคการผลิตยังคงเผชิญอยู่จากปัจจัยต้นทุนและการแข่งขันในตลาดโลก ในทางตรงกันข้าม ภาคบริการกลับสร้างความประหลาดใจด้วยการทำสถิติสูงสุดในปี 2024 แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของการบริโภคภาคเอกชนและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมักเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจเลือกใช้แนวทางค่อยเป็นค่อยไปในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงนโยบายการคลังของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของ Trump ที่อาจสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในระยะถัดไป
สัญญาณเตือนภาคการผลิตสหรัฐฯ กดดันตลาดทองคำ
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญจากธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์กได้สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนและนักวิเคราะห์ทั่วโลก เมื่อดัชนี Empire State Manufacturing Survey ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงมาอยู่ที่ระดับ 0.2 จากเดิมที่ 31.2 ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 6.4 อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นถึงการชะลอตัวอย่างฉับพลันในภาคการผลิตของภูมิภาคนี้
Richard Deitz นักวิจัยเศรษฐกิจอาวุโสของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์ก ได้ให้ความเห็นว่า แม้กิจกรรมการผลิตในรัฐนิวยอร์กจะยังคงทรงตัวในเดือนธันวาคม แต่มีสัญญาณที่น่ากังวลหลายประการ ทั้งอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาที่ชะลอตัวลง และการจ้างงานที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกที่น่าสนใจคือผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับสภาวะธุรกิจในอนาคต
แม้ว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลง โดยดัชนีราคาจ่าย (Price Paid Index) ลดลงจาก 27.8 จุด เหลือ 21.1 จุด แต่นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าระดับเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่สูงเกินไปสำหรับธนาคารกลางสหรัฐฯ ข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมานี้สร้างความท้าทายอย่างมากต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ เนื่องจากในขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง แต่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่น่ากังวล
นักวิเคราะห์ทองคำเสี่ยงปรับฐานรุนแรงหลังประชุม Fed พร้อมจับตาผลกระทบ Trumponomics 2.0
ท่ามกลางความผันผวนของตลาดทองคำที่ยังคงดำเนินต่อเนื่อง Kelvin Wong นักวิเคราะห์อาวุโสจาก OANDA ได้ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มราคาทองคำในระยะถัดไป โดยระบุว่าทองคำยังคงเผชิญแรงต้านสำคัญที่ระดับเหนือ 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่แรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรและความกังวลเรื่องเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
ประเด็นที่น่าสนใจคือการวิเคราะห์ผลกระทบจากนโยบาย Trumponomics 2.0 ที่คาดว่าจะมีการประกาศใช้ในอนาคตอันใกล้ โดยนโยบายดังกล่าวประกอบด้วยมาตรการสำคัญสองประการ ได้แก่ การลดภาษีนิติบุคคลครั้งใหญ่ และการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าจะสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในปี 2025 เป็นต้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Breakeven Inflation Rate) ทั้งระยะ 5 ปีและ 10 ปีที่เริ่มมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่เริ่มวัฏจักรการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ
Wong ยังได้ชี้ให้เห็นว่าอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีได้ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญหลังจากทดสอบแนวรับที่ระดับ 1.90% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยหากอัตราผลตอบแทนดังกล่าวปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 2.29% จะส่งผลให้ต้นทุนค่าเสียโอกาส ในการถือครองทองคำเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจน้อยลงในสายตานักลงทุน
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองระยะยาว Wong ยังคงมองว่าทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากผลกระทบระยะยาวของนโยบายการเพิ่มภาษีนำเข้าภายใต้ Trumponomics 2.0 ที่อาจนำไปสู่การถดถอยของกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และส่งผลให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น
จีนกลับมาซื้อทองคำอีกครั้งหลังหยุดพัก 6 เดือน มุ่งกระจายความเสี่ยงคลังสำรองรับมือสงครามการค้ารอบใหม่
ความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาในตลาดทองคำโลกเกิดขึ้นเมื่อธนาคารกลางจีน (PBOC) ตัดสินใจกลับมาเพิ่มทองคำในคลังสำรองอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน หลังจากที่หยุดการซื้อไปนานถึง 6 เดือน Vladimir Zernov นักวิเคราะห์จาก FX Empire ได้อธิบายว่าการตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการกระจายความเสี่ยงของคลังสำรองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้นภายใต้การนำของประธานาธิบดี Trump
ข้อมูลล่าสุดระบุว่าธนาคารกลางจีนได้เพิ่มทองคำในคลังสำรอง 160,000 ออนซ์ ส่งผลให้ปริมาณทองคำสำรองรวมเพิ่มขึ้นเป็น 72.96 ล้านออนซ์ การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่จีนรอคอยการปรับตัวลดลงของราคาทองคำมาเป็นเวลานาน แต่ราคากลับไม่มีการปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้จีนต้องตัดสินใจเข้าซื้อที่ระดับราคาปัจจุบัน โดยการเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นในทันทีที่มีการเปิดเผยข้อมูล
Zernov ยังได้วิเคราะห์เพิ่มเติมว่าชัยชนะของ Trump ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้จีนต้องเร่งตัดสินใจซื้อทองคำในครั้งนี้ เนื่องจากนโยบายการคว่ำบาตรที่เข้มงวดของสหรัฐฯ ได้กลายเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มกระจายการถือครองคลังสำรองของตน เพื่อลดการพึ่งพาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ
ที่น่าสนใจคือแม้ว่าธนาคารกลางจีนจะกลับมาซื้อทองคำ แต่ราคาทองคำกลับไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนบางส่วนอาจต้องการทำกำไรก่อนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาก็เป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำเช่นกัน
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
จากการวิเคราะห์กราฟราคาทองคำในกรอบเวลา 4 ชั่วโมงล่าสุด พบว่าราคายังคงอยู่ในช่วงของการปรับฐานต่อเนื่อง โดยราคาได้ย่อตัวลงมาต่ำกว่าบริเวณ $2,655 ซึ่งเป็นระดับของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA 200 (เส้นสีส้ม) ในปัจจุบันอีกครั้ง
เมื่อพิจารณาจากการวางตัวของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ พบว่าเส้น EMA 12 (สีแดง) และ EMA 26 (สีฟ้า) ยังคงส่งสัญญาณเป็นลบต่อเนื่อง โดยทั้งสองเส้นกำลังปรับตัวลงและห่างจากกันมากขึ้น สะท้อนถึงแรงขายที่ยังคงมีอยู่ในตลาด
ในส่วนของดัชนี RSI พบว่ามีการฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยจากเขต 35 แต่ยังคงเคลื่อนตัวต่ำกว่าระดับ 50 สะท้อนว่าแรงขายในระยะสั้นเริ่มชะลอตัวลง แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน
สำหรับระดับราคาสำคัญที่ต้องติดตาม แนวรับที่สำคัญในระยะสั้นอยู่ที่ $2,635 และ $2,621 ซึ่งเป็นระดับที่ราคาเคยใช้เป็นแนวรับมาก่อน ส่วนแนวต้านสำคัญอยู่ที่ $2,656 และ $2,673 ตามลำดับ
ในการคาดการณ์แนวโน้ม 24 ชั่วโมงข้างหน้า คาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง $2,635 ถึง $2,655 โดยหากราคาสามารถยืนเหนือเส้น EMA 200 ที่บริเวณ $2,655 ได้อย่างมั่นคง มีโอกาสที่จะเห็นการฟื้นตัวขึ้นทดสอบแนวต้านที่ $2,686 แต่หากราคาหลุดต่ำกว่าแนวรับ $2,635 ลงมา อาจเห็นการปรับตัวลงต่อเนื่องไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ $2,621
นักลงทุนควรติดตามการเคลื่อนไหวของราคาบริเวณเส้น EMA 200 อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นจุดสำคัญที่จะบ่งชี้ทิศทางของราคาในระยะสั้น และควรรอสัญญาณยืนยันการกลับตัวที่ชัดเจนก่อนเข้าลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน
แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,635
$2,621
$2,605
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$2,656
$2,673
$2,686
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน